top of page

สัญญาณเตือนของ "โรคซิฟิลิส" ที่คุณควรรู้

hivteam
สัญญาณเตือนของ "โรคซิฟิลิส" ที่คุณควรรู้

โรคซิฟิลิส (Syphilis) เป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อย เนื่องจากเป็นโรคที่มีความซับซ้อนและมีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างรุนแรง และยังคงเป็นปัญหาทางสุขภาพที่สำคัญในปัจจุบัน การรู้จักกับโรคซิฟิลิสจะช่วยให้เราสามารถป้องกัน และรักษาได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที ในบทความนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับโรคซิฟิลิส อาการ การวินิจฉัย การรักษา และวิธีป้องกันโรคอย่างละเอียด เพื่อให้คุณสามารถดูแลสุขภาพของตนเอง และคนรอบข้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โรคซิฟิลิส คืออะไร?

โรคซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรียชนิด Treponema pallidum โรคนี้สามารถแพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน ทั้งเพศสัมพันธ์ทางปาก ทางทวารหนัก หรือทางช่องคลอด นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสกับบาดแผลที่มีเชื้อแบคทีเรียอยู่ หรือแม้กระทั่งจากแม่ไปสู่ลูกในระหว่างการตั้งครรภ์ โรคซิฟิลิสมีอัตราการแพร่กระจายสูง และสามารถเกิดผลกระทบที่ร้ายแรงหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง

อาการของ โรคซิฟิลิส

อาการของ โรคซิฟิลิส

อาการของโรคซิฟิลิสแบ่งออกเป็นสี่ระยะตามการพัฒนาของโรค แต่ละระยะมีลักษณะเฉพาะที่ต่างกันไป การรู้จักและเข้าใจอาการในแต่ละระยะ จะช่วยให้สามารถวินิจฉัย และรักษาได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที

โรคซิฟิลิส ระยะแรก (Primary Stage)

ระยะแรกของโรคซิฟิลิส มักปรากฏภายใน 3-6 สัปดาห์ หลังจากการติดเชื้อ โดยมีอาการแรกที่สำคัญคือการเกิดแผล (chancre) ที่บริเวณที่ติดเชื้อ แผลนี้มักเป็นแผลที่ไม่เจ็บ และมีลักษณะคล้ายแผลถลอก ซึ่งอาจพบได้ที่อวัยวะเพศ ทวารหนัก ปาก หรือลิ้น แผลนี้จะหายไปเองภายใน 3-6 สัปดาห์ แม้ไม่ได้รับการรักษา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเชื้อแบคทีเรียจะหายไปจากร่างกาย เชื้อยังคงอยู่ และสามารถพัฒนาไปสู่ระยะต่อไปได้

โรคซิฟิลิส ระยะที่สอง (Secondary Stage)

หลังจากแผลหายไปแล้ว อาการของโรคซิฟิลิสจะเปลี่ยนเป็นระยะที่สอง ซึ่งสามารถปรากฏภายในไม่กี่สัปดาห์หรือไม่กี่เดือน หลังจากแผลหายไป อาการในระยะนี้รวมถึงผื่นแดงที่ผิวหนัง ซึ่งอาจมีตุ่มนูนหรือแผลที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือส่วนอื่นๆ ของร่างกาย นอกจากนี้ยังสามารถพบอาการอื่นๆ เช่น ไข้ เจ็บคอ ผมร่วง อ่อนเพลีย หรือปวดข้อ อาการเหล่านี้อาจหายไปเองแต่เชื้อยังคงอยู่ในร่างกาย และสามารถพัฒนาไปสู่ระยะต่อไปได้

ระยะแฝง (Latent Stage)

หลังจากระยะที่สอง โรคซิฟิลิสจะเข้าสู่ระยะแฝง ซึ่งไม่มีอาการทางคลินิกปรากฏอยู่ แต่แบคทีเรียยังคงอยู่ในร่างกายและสามารถแพร่เชื้อต่อไปได้ แม้ไม่มีอาการปรากฏ แต่อันตรายของโรคซิฟิลิสในระยะนี้คือการพัฒนาไปสู่ระยะที่สามที่มีผลกระทบที่รุนแรงมากขึ้น

โรคซิฟิลิส ระยะที่สาม (Tertiary Stage)

หากไม่ได้รับการรักษา โรคซิฟิลิสอาจพัฒนาไปยังระยะที่สาม ซึ่งสามารถเกิดขึ้นหลังจากติดเชื้อเป็นเวลาหลายปี ระยะนี้จะมีผลกระทบต่ออวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น หัวใจ สมอง ตับ และกระดูก อาการในระยะนี้รวมถึงการอักเสบของหลอดเลือด การเสียการทำงานของระบบประสาท และการเสื่อมสภาพของอวัยวะต่างๆ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

กลุ่มเสี่ยงต่อโรคซิฟิลิส

บุคคลต่อไปนี้มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อซิฟิลิส

  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน

  • ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน

  • ผู้ที่เคยติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ มาก่อน

  • ผู้ที่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น

  • ผู้ที่ทำงานบริการทางเพศ

ผลกระทบและความเสี่ยงของโรคซิฟิลิส

ซิฟิลิสมีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างมากหากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดโรคอื่น ๆ ที่เป็นอันตรายต่อชีวิต เช่น การทำลายระบบประสาท หัวใจ และอวัยวะอื่น ๆ นอกจากนี้ ซิฟิลิสยังสามารถแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูกได้ในระหว่างการตั้งครรภ์ ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนกับทารกในครรภ์ได้ เช่น การเกิดโรคซิฟิลิสโดยกำเนิด (Congenital Syphilis) ซึ่งอาจทำให้ทารกมีปัญหาทางสุขภาพตั้งแต่เกิด

การวินิจฉัย โรคซิฟิลิส

การวินิจฉัย โรคซิฟิลิส

การวินิจฉัยโรคซิฟิลิสมีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษา และป้องกันการแพร่กระจายของโรค การตรวจเลือดเป็นวิธีที่ง่าย และรวดเร็วในการตรวจหาโรคซิฟิลิส โดยสามารถตรวจหาการมีอยู่ของแอนติบอดีที่ตอบสนองต่อแบคทีเรีย Treponema pallidum วิธีการตรวจเลือดมีหลายประเภท ได้แก่

  1. การตรวจแอนติบอดีแบบไม่เฉพาะเจาะจง (non-treponemal test) เช่น VDRL และ RPR การตรวจเหล่านี้สามารถตรวจหาแอนติบอดีที่ตอบสนองต่อการติดเชื้อในร่างกาย แต่ไม่ได้เฉพาะเจาะจงต่อแบคทีเรีย Treponema pallidum โดยตรง

  2. การตรวจแอนติบอดีแบบเฉพาะเจาะจง (treponemal test) เช่น FTA-ABS และ TPHA การตรวจเหล่านี้สามารถตรวจหาแอนติบอดีที่ตอบสนองต่อแบคทีเรีย Treponema pallidum โดยตรง ทำให้มีความแม่นยำสูงในการวินิจฉัยโรคซิฟิลิส

  3. การตรวจชิ้นเนื้อจากแผล วิธีนี้ใช้เพื่อหาการมีอยู่ของแบคทีเรีย Treponema pallidum ในเนื้อเยื่อที่เป็นแผล การตรวจชิ้นเนื้อจากแผลเป็นวิธีที่มีความแม่นยำสูงในการวินิจฉัยโรคซิฟิลิสในระยะแรก เนื่องจากสามารถตรวจพบแบคทีเรียโดยตรงจากแผลที่เป็น

  4. การตรวจน้ำไขสันหลัง (lumbar puncture) ใช้ในกรณีที่สงสัยว่าโรคซิฟิลิสได้แพร่กระจายเข้าสู่ระบบประสาท วิธีนี้จะตรวจหาการมีอยู่ของแบคทีเรีย Treponema pallidum ในน้ำไขสันหลัง ซึ่งสามารถบ่งชี้การติดเชื้อในระบบประสาทได้

การป้องกัน โรคซิฟิลิส

การป้องกันโรคซิฟิลิสสามารถทำได้โดยการปฏิบัติตามหลักการดังนี้

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์

  • มีคู่นอนเพียงคนเดียว

  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่รู้ประวัติ

  • ตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ

  • หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น

  • หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับการตรวจคัดกรองระหว่างฝากครรภ์

  • ให้ความรู้เรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์แก่วัยรุ่นและกลุ่มเสี่ยง

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลหรือรอยโรค ที่สงสัยว่าเป็นซิฟิลิส

  • งดเว้นมีเพศสัมพันธ์ เป็นวิธีที่ป้องกันได้ 100% แต่อาจไม่ปฏิบัติได้สำหรับทุกคน

การดูแลผู้ป่วยโรคซิฟิลิส

ผู้ป่วยโรคซิฟิลิส ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ และต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด และป้องกันการแพร่กระจายของโรคไปยังผู้อื่น การดูแลประกอบด้วย

  1. การรับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง: การรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งจะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพ

  2. การติดตามผลการรักษา: การพบแพทย์เพื่อตรวจติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าโรคได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง

  3. การแจ้งคู่นอนหรือผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์ด้วย: เพื่อให้คู่ครองหรือผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์ด้วยได้รับการตรวจ และรักษาเพื่อลดการแพร่กระจายของโรค

การรักษาโรคซิฟิลิส

การรักษาโรคซิฟิลิส

การรักษาโรคซิฟิลิสใช้ยาปฏิชีวนะที่มีประสิทธิภาพสูง โดยยาที่นิยมใช้มากที่สุดคือ เพนิซิลลิน (Penicillin) ซึ่งเป็นยาที่มีการใช้มานานและได้ผลดี การรักษาในระยะต้นจะได้ผลดีกว่าและสามารถหายขาดได้ การรักษาในระยะต่าง ๆ มีดังนี้

  1. ระยะแรกและระยะที่สอง: ใช้การฉีดยาเพนิซิลลินเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรีย

  2. ระยะแฝงและระยะสุดท้าย: การรักษาในระยะนี้ต้องใช้การฉีดยาเพนิซิลลินหลายครั้งหรือการให้ยาต่อเนื่องเป็นเวลานาน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค

หากผู้ป่วยมีประวัติแพ้เพนิซิลลิน แพทย์จะใช้ยาตัวอื่น ๆ แทน เช่น ดอกซีไซคลิน (Doxycycline) หรือ เตตราไซคลิน (Tetracycline)

ตรวจซิฟิลิส รักษาซิฟิลิส เชียงใหม่ ได้ที่ไหน ?

สำหรับชาว เชียงใหม่ ท่านไหนที่ต้องการ ตรวจคัดกรองโรคซิฟิลิส หรือ รักษาโรคซิฟิลิส หนึ่งในช่องทางที่สะดวกสบาย เข้าถึงง่าย สามารถเข้ารับบริการ ได้ที่ Hugsa Clinic กลางเวียง เชียงใหม่ ให้บริการโดยแพทย์เฉพาะทาง พร้อมบริการด้านการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และก้าวทันนวัตกรรมทางการแพทย์ พร้อมทั้งการบริการที่ดีแก่ผู้ป่วยทุกท่านให้ได้รับความพึงพอใจสูงสุด

ช่องทางการติดต่อเรา

  • ฮักษาคลินิก กลางเวียง เชียงใหม่

  • ตั้งอยู่ที่ 77/7 ถนน คชสาร ตำบลช้างคลาน อำเภอเมืองเชียงใหม่ เชียงใหม่

  • เปิดบริการทุกวัน

  • จันทร์ – ศุกร์ 10.00 – 20.00 น.

  • เสาร์ – อาทิตย์ 10.00 – 18.00 น.

  • สอบถามผ่าน Line id. @hugsaclinic (มี @ ด้วยนะครับ)

  • เบอร์โทรติดต่อ ☎ 093 309 9988

  • แผนที่คลินิก 🚗 https://g.page/hugsa-medical?share

  • จองคิวตรวจออนไลน์ https://hugsa.youcanbook.me

อ่านบทความอื่นๆ

โรคซิฟิลิส เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถรักษาได้ หากได้รับการวินิจฉัยและการรักษาอย่างถูกต้อง ทันท่วงที การป้องกันซิฟิลิส โดยการใช้ถุงยางอนามัย การตรวจสุขภาพประจำปี และการรักษาความสะอาดของอวัยวะเพศเป็นวิธีที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อซิฟิลิสได้มาก ด้วยความรู้และการปฏิบัติที่ถูกต้อง เราสามารถป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคซิฟิลิสได้ ซึ่งจะช่วยให้ชีวิตของเราปลอดภัย และมีสุขภาพที่ดี


Comentários


Os comentários foram desativados.

77/7 ถ.คชสาร ต.ช้างคลาน อ.เมือง เชียงใหม่ ประเทศไทย
hugsacm@gmail.com

bottom of page