
การ ตรวจเอชไอวี (HIV testing) เป็นวิธีเดียวที่จะทราบได้อย่างแน่ชัดว่าตนเองติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่ หากตรวจพบการติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ยืนยาว และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
เอชไอวี คืออะไร ?
เอชไอวี (HIV) ย่อมาจาก Human Immunodeficiency Virus คือ เชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อ โดยเชื้อไวรัสเอชไอวีจะแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย และทำลายเม็ดเลือดขาวประเภท CD4 ซึ่งเป็นเซลล์ภูมิคุ้มกันที่สำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง หากปล่อยไว้ไม่ได้รับการรักษา จะก่อให้อาการของผู้ติดเชื้อพัฒนาไปเป็นระยะโรคเอดส์ได้ในที่สุด
การตรวจเอชไอวี มีกี่วิธี ?

ในปัจจุบันการตรวจเอชไอวีในห้องปฏิบัติการมีทั้งหมด 4 วิธี ได้แก่
การตรวจหาแอนติเจนของเชื้อ HIV (HIV p24 Antigen Testing) สามารถตรวจได้ภายหลังการติดเชื้อ ประมาณ 2 สัปดาห์
การตรวจหาแอนติบอดีที่จำเพาะต่อเชื้อ HIV (Anti-HIV Testing) สามารถตรวจพบได้หลังการติดเชื้อ ประมาณ 3 - 4 สัปดาห์
การตรวจโดยใช้ชุดตรวจแอนติบอดีจำเพาะต่อเชื้อ HIV และตรวจแอนติเจนของเชื้อพร้อมกัน (HIV Ag/Ab Combination Assay) สามารถตรวจพบได้หลังการติดเชื้อ ประมาณ 2 สัปดาห์
การตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อ HIV (Nucleic Acid Amplification Testing: NAT) สามารถตรวจพบได้หลังการติดเชื้อ ประมาณ 5 - 7 วัน
ใครบ้างที่ควรตรวจเอชไอวี ?
ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน
ผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ
ผู้ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ
ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย
ผู้ที่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกันกับผู้อื่น
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ผู้ที่วางแผนมีครอบครัว
ผลตรวจเอชไอวีมีอะไรบ้าง ?
ผลเลือดลบ | ผลเลือดบวก |
ผลเลือดเป็นลบ หรือ non-reactive แสดงว่าผู้เข้ารับการตรวจไม่มีเชื้อ หรืออาจยังไม่พบเชื้อ เนื่องจากอยู่ในระยะฟักตัว แนะนำให้มาตรวจซ้ำอีกครั้งในระยะ 3 - 6 เดือน และใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ | ผลเลือดเป็นบวก หรือ reactive เจ้าหน้าที่จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตัวเอง และเข้าสู่กระบวนการรักษาต่อไป |
การตรวจเอชไอวี มีประโยชน์อย่างไร ?

เพื่อป้องกันตนเองไม่ให้ติดเชื้อเอชไอวี
สามารถวางแผนชีวิตได้อย่างเหมาะสม
ช่วยลดความกังวลใจ
สามารถเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที
ป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
ป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ลูกในครรภ์ได้
ลดการป่วยจากโรคฉวยโอกาส
ลดโอกาสในการพัฒนาไปสู่ระยะเอดส์
การรักษาเอชไอวีในปัจจุบัน
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาเอชไอวีให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมการติดเชื้อ และป้องกันไม่ให้พัฒนาเป็นโรคเอดส์ได้ โดยการรักษาด้วยยาต้านไวรัส (Antiretroviral) เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อเอชไอวี ทำให้จำนวนไวรัสในเลือดลดลง ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายดีขึ้น ช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ยืนยาว เหมือนคนปกติทั่วไป และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
การป้องกันเอชไอวี
วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี คือ การลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ โดยสามารถทำได้ดังนี้
ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
หลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือดหรือของเหลวจากผู้ป่วยเอชไอวี
ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
ตรวจเอชไอวีเป็นประจำ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
ตรวจเอชไอวี เชียงใหม่ ได้ที่ไหน ?

สำหรับชาว เชียงใหม่ ท่านไหนที่ต้องการ ตรวจเอชไอวี หนึ่งในช่องทางที่สะดวกสบาย เข้าถึงง่าย สามารถเข้ารับการตรวจคัดกรอง ได้ที่ Hugsa Clinic กลางเวียง เชียงใหม่ ให้บริการโดยแพทย์เฉพาะทาง ที่ได้รับวุฒิบัตรรับรองจากสถาบันทางการแพทย์ในประเทศและต่างประเทศ เพื่อมอบคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดีให้กับชาวเชียงใหม่อย่างคุ้มค่าคุ้มราคา พร้อมบริการด้านการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และก้าวทันนวัตกรรมทางการแพทย์ พร้อมทั้งการบริการที่ดีแก่ผู้ป่วยทุกท่านให้ได้รับความพึงพอใจสูงสุด
ช่องทางการติดต่อเรา
ฮักษาคลินิก กลางเวียง เชียงใหม่
ตั้งอยู่ที่ 77/7 ถนน คชสาร ตำบลช้างคลาน อำเภอเมืองเชียงใหม่ เชียงใหม่
เปิดบริการทุกวัน
จันทร์ – ศุกร์ 10.00 – 20.00 น.
เสาร์ – อาทิตย์ 10.00 – 18.00 น.
สอบถามผ่าน Line id. @hugsaclinic (มี @ ด้วยนะครับ)
เบอร์โทรติดต่อ ☎ 093 309 9988
แผนที่คลินิก 🚗 https://g.page/hugsa-medical?share
จองคิวตรวจออนไลน์ https://hugsa.youcanbook.me
การตรวจเอชไอวี เป็นการตรวจที่สำคัญ ยิ่งตรวจพบเร็ว ยิ่งเข้าสู่กระบวนการรักษาเร็ว เพื่อหยุดการแพร่กระจายของเชื้อเอชไอวี และป้องกันการดำเนินโรคไปสู่ระยะโรคเอดส์ หากพบว่ามีพฤติกรรมเสี่ยง ควรรีบทำการตรวจ และรักษาโดยเร็วที่สุด
Comments